top of page

ตาแห้ง (Dry Eyes)

  • tbfc1000
  • 21 เม.ย.
  • ยาว 1 นาที

ภาวะตาแห้งที่เป็นโรคยอดฮิตของคนทุกช่วงวัยโดยเฉพาะสมัยนี้ มีต้นเหตุของอาการไม่เหมือนกัน และนำไปสู่วิธีการแก้ไขที่แตกต่างกันอีกด้วย หากปล่อยปละละเลยการดูแลภาวะตาแห้ง อาจทำให้ผิวกระจกตาอักเสบ กระจกตาไม่เรียบเนียน ส่งผลให้การมองเห็นไม่คงที่ เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเบลอ และอาจแย่ลงจนไม่สามารถแก้ไขได้


ตาแห้ง (Dry Eyes)

“น้ำตา” ทำหน้าที่หล่อลื่นไม่ให้เยื่อบุตาแห้ง ลดการเสียดสีขณะกระพริบตา ชะล้างฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดความระคายเคืองให้กับดวงตา

“ระบบทางระบายของน้ำตา” ในสภาวะปกติน้ำตาที่ผลิตออกมาหล่อลื่นดวงตาจะไหลระบายออกไปทางท่อน้ำตาเล็กๆ ที่มีอยู่บริเวณหัวตา ตรงรอบเปลือกตาบนและขอบเปลือกตาล่างด้านใน โดย 2 รูนี้จะรวมกันเป็นท่อเดียวเพื่อเชื่อมต่อกับถุงน้ำตาผ่านลงมาภายในกระดูกโหนกแก้มจนมาเปิดภายในจมูกและไหลผ่านลงคอตามลำดับ

หากระบบการสร้างและระบบทางระบายของน้ำตาทำงานผิดปกติก็จะส่งผลให้เกิดความไม่สบายตาต่างๆ ขึ้นได้ เช่น เคืองตา แสบตา น้ำตาไหลคลอ และที่สำคัญที่สุดคงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของ “อาการตาแห้ง”


น้ำตาของคนเรามีทั้งหมด 3 ชั้น แบ่งเป็น

1. ชั้นในสุดที่ติดกับกระจกตาหรือตาดำเรียกว่าชั้น Mucin (ชั้นเมือก) ทำหน้าที่ยึดเกาะน้ำตาให้ติดกับกระจกตา ไม่ไหลออกไปภายนอกดวงตา

2. ชั้นกลางเรียกว่าชั้น Aqueous (ชั้นน้ำตา) เป็นชั้นที่มีอัตราส่วนเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับชั้นอื่น ทำหน้าที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวดวงตา หากชั้นนี้มีความบกพร่อง จะก่อให้เกิดตาแห้งชนิดต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติ

3. ชั้นนอกสุดคือชั้น Lipid (ชั้นไขมัน) เป็นชั้นที่สัมผัสกับอากาศโดยตรง และทำหน้าที่เปรียบเสมือนฟิล์มเคลือบชั้นน้ำตาเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาระเหยไว หากชั้นนี้มีความบกพร่อง จะก่อให้เกิดตาแห้งชนิดระเหยไวกว่าปกติ


อาการทางตาที่เกิดจากความผิดปกติของระบบต่อมน้ำตาที่พบได้บ่อยมี 2 ลักษณะ คือ

1. มีน้ำตาน้อยเกินไป ได้แก่ ภาวะอาการตาแห้ง พบได้ร้อยละ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยที่มีความผิดปกติด้านระบบต่อมน้ำตา

2. มีน้ำตามากเกินไป มีสาเหตุมาจากภาวะท่อน้ำตาอุดตัน (nasolacrimal duct obstruction)


อาการตาแห้งนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่มักจะไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน ส่วนใหญ่พบจากสาเหตุร่วมกัน ดังนี้

• ความเสื่อมของต่อมน้ำตาตามวัย ซึ่งจะทำให้การสร้างน้ำตาค่อยๆ ลดลงเอง

• ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในเพศหญิงในวัยหลังหมดประจำเดือนง

• การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาลดสิว เป็นต้น

• การผ่าตัดดวงตา หรือการทำเลสิก

• การใส่คอนแทคเลนส์

• สภาพแวดล้อมที่มีแต่มลพิษ ทำให้เกิดการอักเสบดวงตาและเกิดอาการตาแห้งตามมา

• พฤติกรรมการใช้ชีวิตผู้คนในปัจจุบัน เช่น การจ้องคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ

• ผู้ป่วยที่เป็นโรค Sjogren’s syndrome เป็นโรคทางระบบภูมิคุ้มกันแบบเรื้อรังที่ทำให้เกิดการทำลายต่อมที่ทำหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับดวงตาและปาก


อาการของผู้ป่วยที่มีภาวะตาแห้ง

1. คันเคืองตา เหมือนมีทรายหรือฝุ่นอยู่ในตา

2. บริเวณตาขาวมีสีแดงจากการอักเสบ

3. ขอบเปลือกตาแดง

4. แพ้แสง แพ้ลม

5. ตามัวเป็นบางขณะ

6. รู้สึกไม่สบายตาตอนตื่นนอน

หากปล่อยไว้ในระยะยาว อาการเคืองตาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตาและกระจกตา ท้ายที่สุดอาจนำมาสู่การเกิดแผลที่กระจกตาได้นั่นเอง อาการตาแห้งอาจเป็นได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ผลที่ตามมาคือ ประสิทธิภาพและความอดทนในการใช้สายตาลดลง


วิธีการดูแลรักษาอาการตาแห้ง

1.หลีกเลี่ยงการปะทะกับแสงแดดและลมโดยตรง เพื่อลดการระเหยของน้ำตาให้น้อยลง

2. สวมแว่นกันลมและกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ไม่อยู่ในที่ที่มีฝุ่นเยอะๆ และลมพัดแรงๆ หรือแม้กระทั่งการนั่งให้แอร์เป่าใส่ดวงตาโดยตรง

3. ใช้กรอบแว่นตาชนิดพิเศษ สำหรับผู้ที่ตาแห้งมากควรใช้แว่นที่มีแผ่นคลุมปิดกั้นลมด้านข้าง ซึ่งจะช่วยครอบทั้งดวงตาได้

4. กระพริบตาถี่ๆ โดยเฉพาะเวลาใช้คอมพิวเตอร์, มือถือ โดยปกติคนเราจะกระพริบตานาทีละ 20-22 ครั้ง โดยทุกครั้งที่กระพริบตา เปลือกตาจะรีดผิวน้ำตาให้มาฉาบผิวกระจกตา แต่ถ้าในขณะที่จ้องหรือเพ่งมอง เราจะลืมตาค้างไว้นานกว่าปกติ ทำให้กระพริบตา 8-10 ครั้งต่อนาที หรือน้อยกว่านั้น น้ำตาก็จะระเหยออกไปมาก ดังนั้นระหว่างการใช้คอมพิวเตอร์อาจหลับตาชั่วขณะ หรือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง

5. ใส่คอนแทคเลนส์ให้น้อยลง หากพบว่าตาแห้งมากควรงดใส่คอนแทคเลนส์

6. ประคบน้ำอุ่น (warm compression) อุณหภูมิประมาณ 41-43 องศาเซลเซียส เป็นประจำเช้า-เย็น ครั้งละ 10-15 นาที

7. เสริมด้วยการรับประทานอาหารจำพวกปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อเพิ่มคุณภาพของน้ำตา

8. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายสามารถผลิตน้ำตาได้เต็มที่

9. ใช้น้ำตาเทียมเพื่อหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นกับผู้ที่ตาแห้ง


น้ำตาเทียม มี 2 ชนิด คือ

1. น้ำตาเทียมชนิดน้ำ มีให้เลือก 2 ชนิด

ชนิดเป็นขวด ซึ่งจะมีส่วนผสมของยากันบูด เปิดขวดแล้วใช้ได้ประมาณ 1 เดือน และไม่ควรใช้เกินวันละ 6 ครั้ง เพราะยากันบูดอาจทำให้ตาแดง และชนิดเป็นกระเปราะ ซึ่งไม่มีส่วนผสมของยากันบูด จึงใช้ได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมงหลังจากเปิดกระเปราะ เหมาะสำหรับคนที่ตาแห้งมากๆเพราะอาจใช้ใส่ทุกชั่วโมงก็ไม่ทำให้ตาแดง

2. น้ำตาเทียมชนิดเจลและขี้ผึ้ง มีลักษณะเหนียวหนืด หล่อลื่นและคงความชุ่มชื้นได้นานกว่าชนิดน้ำ แต่ควรใช้ป้ายตาแต่น้อยและควรใช้ก่อนนอน


วิธีป้องกันโรคตาแห้งสำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์

จัดตารางเวลาเพื่อพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง โดยในแต่ละครั้งให้พักประมาณ 5 นาที โดยการหลับตาหรือมองไปที่ไกลๆ เพราะการมองระยะใกล้จะทำให้เกิดการเกร็งของสายตา แต่การมองระยะไกลจะเป็นการผ่อนคลาย สำหรับระยะที่เหมาะสมสำหรับการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ คือ ควรเว้นระยะห่างระหว่างดวงตากับหน้าจอประมาณ 20-24 นิ้ว และควรใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดหน้าจอไม่เล็กจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการเพ่ง หน้าจอที่เหมาะสมคือ 19 นิ้วขึ้นไป อาจเพิ่มเติมด้วยการติดแผ่นกรองแสงที่หน้าจอ หรือสวมแว่นตาที่ช่วยลดการกระเจิงแสงหรือลดแสงสีฟ้า ช่วยถนอมสายตาได้ในระดับหนึ่ง

Comments


bottom of page